สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ปัญหาที่พบบ่อยและสร้างความกังวลใจมากที่สุดคือ “ปัญหาสภาพคล่อง” ที่เกิดจากการให้เครดิตเทอมแก่คู่ค้ายาวนานตั้งแต่ 30 ถึง 120 วัน แม้จะขายสินค้าหรือให้บริการเสร็จสิ้นแล้ว แต่กลับไม่มีเงินสดเข้ามาหมุนเวียนในกิจการทันที ทำให้ขาดโอกาสในการรับงานใหม่หรือชำระค่าใช้จ่ายรายเดือน บริการ “ซื้อขายบิล” หรือในทางธุรกิจเรียกว่า “สินเชื่อแฟคเตอริ่ง” (Invoice Factoring) จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ปัญหานี้ โดยการเปลี่ยนเอกสารลูกหนี้การค้าให้กลายเป็นเงินสดพร้อมใช้ ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง รวดเร็ว และลดข้อจำกัดทางการเงินแบบเดิม ๆ
ซื้อขายบิลคืออะไร ทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงนิยมใช้เป็นแหล่งเงินทุน?
การซื้อขายบิล หรือบริการสินเชื่อแฟคเตอริ่ง (Factoring) คือ บริการทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ โดยผู้ประกอบการสามารถนำเอกสารทางการค้าที่อยู่ระหว่างรอเรียกเก็บเงินตามเครดิตเทอม เช่น ใบแจ้งหนี้ (Invoice) หรือใบวางบิล มาขายให้กับทาง IFS Capital (Thailand) เพื่อรับเงินสดไปหมุนเวียนก่อนล่วงหน้า โดยไม่ต้องรอจนครบกำหนดชำระจากคู่ค้า
สาเหตุที่ธุรกิจยุคใหม่นิยมใช้วิธีนี้ เพราะเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้นที่อนุมัติไว ช่วยลดช่องว่างของกระแสเงินสด ทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำเงินไปซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือลงทุนขยายกิจการได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระหนี้ระยะยาวเหมือนการกู้ยืมรูปแบบอื่น
ในมุมมองของ IFS Capital (Thailand) คิดว่า “กระแสเงินสดคือลมหายใจของธุรกิจ การรอคอยเครดิตเทอมที่ยาวนานอาจทำให้ธุรกิจเสียโอกาสในการเติบโต หรือพลาดการรับงานใหญ่เนื่องจากทุนไม่พอ การใช้บริการซื้อขายบิล หรือแฟคเตอริ่ง จึงไม่ใช่การก่อหนี้จนเกินตัว แต่คือ “เครื่องมือบริหารสภาพคล่อง” ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่นอนนิ่งอยู่ในรูปแบบเอกสาร ให้กลับมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่มีชีวิต เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปต่อได้อย่างไม่มีสะดุด”
เจาะลึกกระบวนการแฟคเตอริ่ง มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนบิลเป็นเงินสดทำได้ง่ายเพียงใด IFS Capital ได้ออกแบบกระบวนการซื้อขายบิล ให้กระชับ รวดเร็ว และตรวจสอบได้ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : แจ้งวางบิล (Invoice)
เริ่มต้นจากกระบวนการค้าปกติ เมื่อผู้ขาย (ผู้ประกอบการ) ได้ส่งมอบสินค้าหรือให้บริการแก่ผู้ซื้อ (ลูกหนี้การค้า) เรียบร้อยแล้ว ผู้ขายจะทำการออกเอกสารทางการค้า เช่น ใบแจ้งหนี้ หรือใบวางบิล เพื่อแจ้งหนี้และกำหนดวันชำระเงินตามเครดิตเทอมที่ตกลงกันไว้
ขั้นตอนที่ 2 : ส่งเอกสาร (Submission)
ผู้ขายนำเอกสารทางการค้าดังกล่าวมาส่งให้กับ IFS Capital เพื่อดำเนินการขอเบิกเงิน ซึ่งในปัจจุบัน IFS Capital อำนวยความสะดวกด้วยบริการ e-Factoring ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถส่งข้อมูลใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ลดความยุ่งยากเรื่องงานเอกสาร ประหยัดเวลา และลดความเสี่ยงเอกสารสูญหาย
ขั้นตอนที่ 3 : รับเงินล่วงหน้า (Advance)
หลังจากตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยแล้ว IFS Capital จะอนุมัติและโอนเงินสดล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายสูงสุดถึง 90% ของมูลค่าบิล ภายใน 7 วันทำการ* ขั้นตอนนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับเงินไปหมุนเวียนในทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดชำระจริง
ขั้นตอนที่ 4 : ผู้ซื้อชำระเงิน (Payment)
เมื่อถึงวันครบกำหนดชำระเงินตามเครดิตเทอมที่ระบุไว้ในเอกสาร ผู้ซื้อ (ลูกหนี้การค้า) จะทำการชำระค่าสินค้าหรือบริการเต็มจำนวนเข้ามาที่ IFS Capital ตามกระบวนการโอนสิทธิเรียกร้องที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ขั้นตอนที่ 5 : รับเงินคืน (Refund)
เมื่อ IFS Capital ได้รับชำระหนี้จากผู้ซื้อครบถ้วนแล้ว จะทำการหักยอดเงินที่จ่ายล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้ พร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมตามที่ตกลงกัน ส่วนเงินที่เหลือจะถูกโอนคืนกลับไปยังผู้ขายทันที เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
เปรียบเทียบการซื้อขายบิล (Factoring) ต่างจากสินเชื่อธุรกิจทั่วไปอย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่าบริการนี้แตกต่างจากการขอสินเชื่อกับธนาคารอย่างไร ตารางด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการซื้อขายบิล กับสินเชื่อธุรกิจทั่วไป เพื่อประกอบการตัดสินใจ
| รายการเปรียบเทียบ | ซื้อขายบิล (Factoring) กับ IFS Capital | สินเชื่อธุรกิจทั่วไป / เงินกู้ธนาคาร |
| หลักทรัพย์ค้ำประกัน | ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน | ต้องใช้ที่ดิน อาคาร หรือเงินฝากค้ำประกัน |
| ระยะเวลาอนุมัติ | อนุมัติวงเงินไว ภายใน 7 วันทำการ* | ใช้เวลาประมาณ 30 – 45 วันทำการ (ตั้งแต่ขั้นตอนยื่นขอสินเชื่อจนถึงได้รับอนุมัติ) |
| เกณฑ์การพิจารณา | ยืดหยุ่น ดูความน่าเชื่อถือของลูกหนี้การค้าเป็นหลัก | เข้มงวด ดูงบการเงินและประวัติเครดิตบูโรของผู้กู้ |
| คุณสมบัติผู้กู้ | จดทะเบียน 1 ปี หรือมีงบการเงินขาดทุนก็ขอได้ | ต้องมีกำไรต่อเนื่อง และเปิดกิจการมากกว่า 1 ปี |
| วงเงินสินเชื่อ | ขยายตามยอดขายที่เติบโตขึ้น | วงเงินจำกัดตามมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน |
ใครบ้างที่เหมาะกับบริการซื้อขายบิล?
บริการนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ B2B ที่ต้องการความคล่องตัวทางการเงิน โดยกลุ่มธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด ได้แก่
- ธุรกิจที่ให้เครดิตเทอมลูกค้านาน : เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต, ธุรกิจก่อสร้าง, ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ หรือผู้จัดจำหน่ายสินค้าเข้าห้างสรรพสินค้า (Modern Trade)
- SMEs และ Startups : ที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรือไม่มีสินทรัพย์ถาวร (เช่น ที่ดิน อาคาร) เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อธนาคาร
- ธุรกิจที่กำลังเติบโต : ผู้ประกอบการที่มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Small Business กล้าโต) และต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อซื้อวัตถุดิบมาผลิตสินค้าให้ทันตามออเดอร์
ข้อดีและข้อจำกัดของการทำแฟคเตอริ่งที่ควรรู้
ก่อนตัดสินใจใช้บริการผู้ประกอบการควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อสังเกต เพื่อให้การวางแผนการเงินมีประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อดีของการทำสินเชื่อแฟคเตอริ่ง
- ได้รับเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในธุรกิจภายใน 24 ชั่วโมง*
- ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ SMEs
- วงเงินสินเชื่อเติบโตตามยอดขาย ยิ่งมีบิลเยอะ ยิ่งมีวงเงินหมุนเวียนเยอะ
- มีบริการตรวจสอบเครดิตของลูกหนี้การค้า ช่วยคัดกรองคู่ค้าที่มีคุณภาพ ลดความเสี่ยงหนี้สูญ
ข้อจำกัดของการทำสินเชื่อแฟคเตอริ่ง
- มีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนทางการเงินที่ต้องนำมาคำนวณเปรียบเทียบกับกำไร
- ต้องมีเอกสารทางการค้าที่ถูกต้องและตรวจสอบได้ (เช่น ใบวางบิล ใบแจ้งหนี้ ใบสั่งซื้อ)
- ต้องมีการแจ้งให้ลูกค้า (ผู้ซื้อ) รับทราบเพื่อโอนสิทธิการรับเงิน ซึ่งอาจต้องอาศัยการสื่อสารทำความเข้าใจ
Case Study : พลิกวิกฤตขาดสภาพคล่อง ด้วยการเปลี่ยนบิลเป็นเงินสดกับ IFS Capital (Thailand)
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ธุรกิจให้บริการขนส่งแห่งหนึ่งซึ่งรับงานจากบริษัทมหาชนรายใหญ่ แม้จะมีรายได้ที่มั่นคง แต่ต้องเผชิญกับเครดิตเทอมการจ่ายเงินที่ยาวนานถึง 60 วัน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรายวัน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าแรงพนักงาน ต้องจ่ายเป็นเงินสดทันที ทำให้เกิดสภาวะเงินสดขาดมือ ไม่สามารถรับงานเพิ่มได้
ผู้ประกอบการรายนี้จึงตัดสินใจใช้บริการซื้อขายบิล กับ IFS Capital โดยนำใบแจ้งหนี้ที่วางบิลแล้วมาเบิกเงินล่วงหน้า ผลลัพธ์คือได้รับเงินสด 90% เข้ามาหมุนเวียนภายใน 1 วัน ทำให้มีเงินไปจ่ายค่าดำเนินงาน และสามารถรับงานขนส่งล็อตใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอรอบบิลเดิม ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตและรับรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการซื้อขายบิล
สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังมีข้อสงสัย นี่คือคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้บริการนี้
การขายบิลถือเป็นการกู้ยืมเงินหรือไม่?
ในทางบัญชี การทำแฟคเตอริ่งถือเป็นสินเชื่อระยะสั้นรูปแบบหนึ่ง แต่มีความแตกต่างจากการกู้ยืมทั่วไปตรงที่เป็นการ “โอนสิทธิรับเงิน” จากลูกหนี้การค้ามาเป็นเงินสด ไม่เน้นการสร้างหนี้ผูกพันระยะยาว และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
บริษัทเพิ่งเปิดได้ 1 ปี หรือมีงบการเงินขาดทุน สามารถขอทำได้ไหม?
สามารถทำได้ เนื่องจาก IFS Capital พิจารณาอนุมัติวงเงินโดยดูจากความน่าเชื่อถือของ “ลูกหนี้การค้า” (ผู้ซื้อสินค้าของท่าน) เป็นหลัก หากคู่ค้าของท่านเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง ท่านก็มีโอกาสได้รับอนุมัติสูง
ลูกค้า (ผู้ซื้อ) จะทราบหรือไม่ว่าเรานำบิลมาขาย?
“ทราบ” เนื่องจากการทำแฟคเตอริ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายจะต้องมีการแจ้งโอนสิทธิการรับเงิน การที่ลูกค้าทราบจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีว่าบริษัทของท่านมีการบริหารจัดการทางการเงินที่เป็นระบบและมีความเป็นมืออาชีพ
ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการเริ่มต้น?
เอกสารเบื้องต้นประกอบด้วย หนังสือรับรองบริษัท, ภพ.20, งบการเงิน, รายการเดินบัญชี (Bank Statement) และตัวอย่างเอกสารทางการค้า เช่น ใบสั่งซื้อ (PO), ใบแจ้งหนี้/ใบวางบิล
สรุปบทความ
การบริหารสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของธุรกิจ B2B บริการซื้อขายบิล หรือ สินเชื่อแฟคเตอริ่ง คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับการเปลี่ยนลูกหนี้การค้าให้เป็นเงินสดทันใจ ช่วยปิดช่องว่างทางการเงินและเปิดโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด หากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ทางการเงินที่มั่นคง จริงใจ และเข้าใจธุรกิจของคุณ IFS Capital (Thailand) ผู้นำด้านแฟคเตอริ่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้คุณก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ด้วยบริการที่รวดเร็วและไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
*เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด*





